เมียนมาออกกฎหมายคุ้มกันการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้า (Law to Prevent an Increased Quantity of Imports)
13 Jul 2020
เมียนมาออกกฎหมายคุ้มกันการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้า (Law to Prevent an Increased Quantity of Imports)
May Thazin Aye
ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในเมียนมา
เมื่อ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ สำนักงานประธานาธิบดีเมียนมา ได้ออกประกาศ ฉบับที่ ๘๓/๒๐๒๐ เกี่ยวกับกฎหมายคุ้มกันจากการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้า (Law to Prevent an Increased Quality of Imports) ซึ่งผ่านสภาแล้วและจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔
กฎหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองการผลิตสินค้าในเมียนมาจากผลกระทบอย่างรุนแรง (Serious Injury) ที่เกิดขึ้นโดยการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการผลิตของวิสาหกิจขนาดย่อม เล็กและกลาง (Micro, Small and Medium Enterprises – MSMEs) ซึ่งควรได้รับช่วงเวลามากขึ้นเพื่อเตรียม ความพร้อมในการพัฒนาสมรรถภาพในการแข่งขัน (Competitiveness)
กฎหมายนี้กำหนดให้จัดตั้งคณะกรรมการคุ้มกันจากการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้า เพื่อพิจารณาอนุมัติ การปรับปรุง แก้ไข และการออกประกาศมาตรการคุ้มกัน (Safeguard measure) หรือตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบกรณีที่มีการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้า บางชนิดซึ่งส่งผลกระทบ อย่างรุนแรงต่อธุรกิจภายในประเทศเมียนมาและ ให้คำแนะนำแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายนี้
ปัจจัยสำคัญที่จะนำมาประกอบการพิจารณาออกมาตรการคุ้มกัน ได้แก่ ปริมาณและราคาของสินค้านำเข้า ส่วนแบ่งตลาดของสินค้านำเข้า ความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์การค้าและการผลิต สภาวะกำไรและขาดทุนของภาคธุรกิจท้องถิ่น และผลกระทบ ต่อการจ้างงาน คณะกรรมการจะไม่ใช้มาตรการคุ้มกันต่อสินค้านำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนาที่มีปริมาณการนำเข้าไม่เกินร้อยละ ๓ ของการนำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนานั้นๆ หรือที่มีปริมาณการนำเข้าไม่เกินร้อยละ ๙ ของสินค้านำเข้าทั้งหมดจากทุกประเทศกำลังพัฒนา
กฎหมายนี้กำหนดให้คณะกรรมการฯ สามารถ ๑) การกำหนดอัตราภาษีคุ้มกัน (preventive tariff) และ/หรือ ๒) การจำกัดปริมาณการนำเข้า ภายใต้เงื่อนไขที่จะให้ธุรกิจภายในที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าสินค้า เพื่อการเยียวยาและการฟื้นตัวเท่านั้น บนพื้นฐานของการไม่เลือกปฏิบัติ (Non – discriminatory administration) กับสินค้าจากประเทศใด
ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าไปเมียนมา รายใหญ่เป็นอันดับ ๒ (รองจากจีน) โดยมีมูลค่าการค้ารวมตั้งแต่ มกราคม – พฤษภาคม ๒๕๖๓ อยู่ที่ ๒,๙๔๑,๙๓๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สถิติจากกระทรวงพาณิชย์ไทย)สถานะวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๓) เมื่อมีผลบังคับใช้ในปีหน้าเป็นต้นไป กฎหมายดังกล่าวอาจส่งผลกระทบผู้ส่งออกสินค้าไทยบางประเภทได้ หากสินค้าไทยรายการใดเข้าช่ายตามกรอบพิจารณาของกฎหมายฉบับนี้
*************************************
ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในเมียนมา
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง
๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๓